แนะนำวัดญาณสังวราราม

กฐิน

แผนที่วัดญาณสังวราราม

                    เมื่อปี 2519 นายแพทย์ขจร และคุณหญิงนิธีวดี   อันตระการ   พร้อมด้วยบุตรธิดา   ได้ถวายที่ดินแด่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ  สุวฑฺฒโน) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร   ที่ ตำบลห้วยใหญ่   อำเภทบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน  2  ครั้ง   เนื้อที่ประมาณ 300 ไร่เศษ ต่อมา คณะผู้ริเริ่มสร้างวัดได้ร่วมกันจัดซื้อที่ดินที่ติดต่อเขตวัดถวายเพิ่มเติมอีกประมาณ 60ไร่เศษ   รวมเป็นเนื้อที่ดินทั้งหมด   366  ไร่  2  งาน  11  ตารางวา   เพื่อขอให้สร้างวัด และขอใช้ชื่อว่า  "วัดญาณสังวราราม"   สมเด็จพระญาณสังวรได้รับถวามที่ดินแล้ว   ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดมาโดยลำดับ

                    วัดญาณสังวราราม   ได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ญาณสังวราราม   เมื่อปี พ.ศ. 2520   เป็นวัญาณสังวรารามโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่   21  กุมภาพันธ์  2523   และได้รับพระราชทานวิสุงดามสีมา   โดยพระราชกฤษฎีกา  ลงวันที่   25  มีนาคม  2525  (พระราชกิจจานุเบกษา   เล่มที่  99  ตอนที่  43)

                    ในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2529)   วัดญาณสังวรารามมีเนื้อที่รวมทั้งหมด   366  ไร่  2  งาน  11   ตารางไม่รวมถึงพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หัว   รัชกาลที่ 9 ประมาณ 2,500 ไร่ มีภิกษุจำพรรษา  47  รูป   สามเณร  10  รูป   อุบาสกอุบาสิกา 15 คน โดยมี   พระอรรถกิจโกศล (อภิพล   อภิพโล)   ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร   เป็นเจ้าอาวาสและมีพระครูนิเทศธรรมจักษ์ (ทอง  จาครโต)   ฐานานุกรมในสมเด็จพระญาณสังวร   เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีหม่อมราชวงศ์จำลอง  นพวงศ์ เป็นไวยาวัจกร

                    การสร้างวัดญาณสังวราราม   มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ   คือ   เน้นทางด้านสมถและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นที่ประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์   ในทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัย รวมทั้งพื่อให้เป็นที่ยังประโยชน์ในการบำเพ็ญอเนกกุศลต่าง ๆ ด้วย

                    การวางผังแผนที่และรูปแบบในการสร้างวัดนั้น   ได้กำหนดพื้นที่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแบ่งออกเป็น   4  เขต  คือ

                   พุทธาวาส

เขตที่  1  พุทธาวาส   เป็นสถานที่ตั้งปูชนียสถาน   โบราณวัตถุ มีอุโบสถพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์   มหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก.   ศาลาอเนกกุศล  สว.กว.  และมวก.สธ.   เป็นต้น

           

 

 

 

 

        เขตสังฆาวาส

เขตที่   2  เขตสังฆาวาส   แบ่งเป็นสองพื่นที่  คือ   พื้นที่ส่วนล่างและพื้นที่ส่วนบน   ประกอบด้วยพื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์   และทั้ง  2  พื้นที่   ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างเสนาสนะกุฏิน้อยใหญ่   เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ สงฆ์ สามเณร เป็นต้น

 

 

 

                    เขตราชาวาส

เขตที่   3  เขตราชาวาส   เป็นสถานที่โครงการพระราชดำริ มี เรือนรับรอง   อ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรกรรม   โรงพยาบาล   ศูนย์การฝึกอบรมพิเศษ   วนอุทยาน   บริเวณอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้   เป็นต้น

                   

 

 

 

 

เขตอุบาสกอุบาสิกาวาสเขตที่   4  เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส   เป็นสถานที่ตั้งศาลาโรงธรรม   ที่พักอาศัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน   ผู้มาอยู่ประพฤติธรรม   รักษาศีลฟังธรรม   ปฏิบัติจิตภาวนาเป็นต้น

                   

 

 

 

เนื่องจากวัดญาณสังวราราม   สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์   ครบ  200 ปี   แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์   อันเป็นสมัยที่ยอมรับทั่วไปว่า   ความร่มเย็นเป็นสุขของไทย   เกิดแต่พระบุญญาธิการแห่งองคสมเด็จพระภัทรมหาราช   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   โดยแท้   และสืบเนื่องต่อขึ้นไปถึงพระมหากรุณาธิคุญยิ่งใหญ่ ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   และสมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้าอีกสองพระองค์   พระผู้ทรงไทยให้กลับเป็นไท   สมัยที่เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกับสมัยกรุงรัตนโกสินทร์   คือ  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช   และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมหาราช

                    ด้วยความสำนักในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   และพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งสามพระองค์   ตลอดทั้งสมเด็จบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกองค์   คณะผู้สร้างวัดญาณสังวราราม   ในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร   จึงร่วมกับประชาชนชาวไทยสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนียะที่สำคัญที่สุดของวัดญาณสังวราราม ขึ้นน้อมเกล้าฯ   ถวายเป็นส่วนเพิ่มพูนพระราชกุศลราศีและเพื่อน้อมเกล้าฯ เทิดพระเกียรติ ดังนี้

                    1.   อุโบสถ  ขนาดกว้าง 13.30 เมตร ยาว 21.00 เมตร  สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบรีมหาราช   โดยดัดแปลงจากแบบพระอุโบสถเก่าคณะรังษี   วัดบวรนิเวศวิหาร   สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ   สยามบรมราชกุมารี   เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์   เมื่อวันที่  24  มีนาคม  2523

                    ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ทรงพระมหากรุณารับคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปทรงตัดลูกนิมิตอุโบสถ   ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงวางศิลาพระฤกษ์พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ ในวันศุกร์ที่  30  เมษายน  2525   พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี   และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี   พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร

                    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ทรงมีพระมหากรุณาล้นเกล้าล้นกระหม่อม   ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกิจ   เช่น   ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายวัดญาณสังวราราม   การที่ทรงพระราชทานที่ยิ่งใหญ่เกินค่าของทรัพย์สินอันหาค่ามิได้ทั้งหลายทั้งปวง

                    2.   พระพุทธปฏิมาประธานประจำอุโบสถ    ได้รับการถวายพระนามว่า   "สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์"   สร้างน้อมเกล้าฯ   ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช   มีขนาดประมาณองค์พระพุทธชินสีห์ในประอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร หน้าพระเพลา 5 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ง

                    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางเททองหล่อ เมื่อวันที่  14  สิงหาคม  2523   ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถเก่าคณะรังษี   วัดบวรวิหาร

                    3.   พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์    สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   และพระบรมราชวงศ์จักรี มีฐานกว้าง 39.00 เมตร  สูง  39.00 เมตร   และได้เริ่มดำเนินการสร้างมาตั้งแต่วันที่   16  กุมภาพันธ์  2524   ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ เพื่อการบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ชั้นที่สองประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีชนวนจากพื้นปฐพีถึงที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ   ด้านนอกชั้นที่สามมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ   3  องค์  คือ พระภปร.ด้านหน้า   พระไพรีพินาศ(ด้านขวาของพระภปร. ) และพระชินราชสีหศาสดา (ด้านซ้ายของพระ ภปร.) ส่วนชั้นที่ 2 เป็นซุ่มตราพระมหาจักรีซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ทรงอันเชิญขึ้นประดิษฐานเมื่อวันที่   30  กรกฎาคม  2528

                    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์   พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามงกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่   30  เมษายน  2525

                    พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ มีความหมายว่า "พระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเพื่อความพิพัฒนาสถาพรแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์"   น้อมเกล้าฯ ถวายพระบรมราชวงศ์จักรี มีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นองค์ปฐม และสมเด็จพระดภัทรมหาราชพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤาดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถพิตร รัชการที่ 9 เป็นองค์ปัจจุบัน

                    4.   พระมหามณฑปพุทธบาท ภปร.สก.    มีขนาดกว้าง 9.00 เมตร สูง 33.00 เมตร ปรารภสร้างด้วยความซาบซิ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   ซึ่งยิ่งใหญ่พ้นพรรณา   เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ได้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อันเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ สก.   ประดิษฐานที่องค์พระมหามณฑป   ทั้งยังได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ   เกษมศรี  เป็นผู้ออกแบบ

                    พระมหามณฑปพุทธบาทนี้   โปรดเกล้าฯ ให้สร้างบนพื้นที่ยอดเขา (เขาดินเดิม)   เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น  ทรงมณฑป   ชั้นล่างแบ่งเป็น  2  ตอน   ตอนที่ 1 เป็นที่อยู่อาศัยของสงฆ์   ตอนที่ 2 เป็นถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค   ชั้นบนเป็นส่วนของอาคารที่จะประดิษฐานรอบพระพุทธบาทคู่   องค์พระมณฑปประดับด้วยโมเสสสีทองจรดยอด   ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   พระราชทานโมเสสีทอง   ซึ่งรื้อมาจากการบูรณะปฏิสังขรณ์   พระเจดีย์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม   บริเวณพื้นองค์มณฑปปูด้วย หินแกรนิตไทย กำแพงแก้วทำหินล้างสีขาว ราวบันไดพญานาคขึ้นลงมณฑปประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเกล็ดพญานาคสีขาว   ชั้นบันได  200  ชั้น ปูด้วยหินแกรนิตไทย   ช่วงล่างของบันไดพญานาคสร้างศาลาทรงไทย 2 หลัง   เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญองค์ใหญ่   2  องค์   พื้นที่จากเชิงเขาถึงบริเวณสร้างมณฑปพระพุทธบาท   มีประมาณ  35  ไร่เศษ   โปรดเกล้าฯ   ให้อนุรักษ์ธรรมชาติเดิมไว้ และโปรดเกล้าฯ   ให้ปลูกต้นไม้สำคัญทางพระพุทธศาสนาให้เต็มพื้นที่จากส่วนที่มีอยู่แล้วและรอบบริเวณเขาชั้นล่าง   โปรดเกล้าฯ   ให้สร้างถนนลาดยาง พร้อมน้ำฝนให้ไหลลงสู่บ่อพักน้ำทั้งหมด   ส่วนน้ำที่ล้นไหลไปจากบ่อที่เก็บไว้ก็จักเป็นเหตุทำให้พื้นที่ชุ่มชื้นด้วยน้ำ   ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็จักเจริญงอกงามตามธรรมชาติ

                    ศิลาที่สลักรอบพระพุทธบาทนี้เป็นหินแกรนิต มีขนาดกว้าง 1.70 เมตร ยาว 2.00 เมตร หนา 2.90 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 35 ตัน   ได้นำมาจากป่าสวนยาง ข้างวัดซากไทย จังหวัดจันทบุรี   บริษัทวิศวโยธาฯ (เขาชีจรรย์) จำกัด  จัดถวาย   ได้รับความอนุเคราะห์การขนส่งจากผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบจากจังหวัดจันทบรีมาถึงวัดญาณสังวราราม ส่วนการนำหินขี้นประดิษฐาน ณ มณฑปพระพุทธบาทนั้น กรมชลประทานเป็นผู้ดำเนินการ   เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร   มองหมายให้อาจารย์โหมด   ว่องสวัสดิ์   ออกแบบแกะสลักและควบคุมการแกะสลักจนแล้วเสร็จเป็นรองพระพุทธบาทคู่   พร้อมทั้งพระสาวก 80 องค์   ลงปิดทองงามตระการตาอย่างยิ่ง

                    พลับพลารับเสด็จฯ   ซึ่งสร้างขึ้นด้วยการใช้ต้นมะพร้าวเป้นเสา โครงหลังคงไม้มุงแฝก   ให้เป็นพลับพลารับเสด็จชั่วคราว   สมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์สร้างพระมหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก.   และทรงปฏิบัติพระราชกิจตามโครงการพระราชดำริ   เมื่อวันที่  27  มิถุนายน   2527   ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของมณฑปชำรุดไปตามสภาพ   จึงสร้างศาลาทรงไทยแบบจตุรมุขไว้   ณ  ที่พลับพลาเดิม   เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงโปรดพระราชทางแก่วัดญาณสังวรารามสืบต่อไป

                    พระมหามณฑปพระพุทธบาท ภปร.สก. สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระผู้ทรงพระมหากรุณาธิตุณล้นกระหม่อมต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยแท้

                    5.   ศาลาอเนกกุศล  สว.กว.    สร้างเป้นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว   กว้าง 17.00 เมตร  ยาว 31.00 เมตร   น้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี   และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และสมเด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาพระฤกษ์   เมื่อวันที่  6  เมษายน  2526   ใช้เป็นศาลาฉัน

                    6.   พระพุทธปฏิมา อปร.มอ.    ประจำศาลาอเนกกุศล สว.กว.   สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอานันทมหิดล   รัชกาลที่ 8 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์   และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม  พระบรมราชชนก   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ  "อปร."   ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระนามภิไธยย่อ  "มอ."   ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดุลยเดชวิกรม   พระบรมราชชนกนาถประดิษฐานที่ผ้าทิตย์   "อปร.มอ."   เป็นพระปางสมธิแบบพระ ภปร. หน้าพระเพลา 5 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว

                    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ เมื่อวันที่  10  สิงหาคม  2526   ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร

                    7.   ศาลาอเนกกุศล มวก.สธ.    มีขนาดกว้าง 17.40 เมตร ยาว 21.00 เมตร   เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น  ชั้นล่างแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1  จัดเป็นห้องเก็บวัสดุ   ตอนที่ 2   ซึ่งอยู่ใต้ฐานซุกซีพระพุทธไพรีพินาศ   จัดเป็นถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค   ตอนที่ 3   จัดเป้นห้องเรียนพระปริยัติธรรมและห้องสมุดวัด   ชั้นบนพื้นปูหินอ่อนไทย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไพรีพินาศ   ใช้เป็นที่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ   อบรมกัมมัฎฐานเจริญจิตภาวนา   เป็นต้น

                    สร้างน้อมเกล้าฯ   ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช   เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์   สยามมกุฎราชกุมาร   และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี

                    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อ   7  พฤษาคม  2527

                    8.   พระพุทธไพรีพินาศ     น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลสมเด็จพระบรมโอรสธิราช   สยามมกุฏราชกุมาร   ประจำศาลาอเนกกุศล มวก.สธ.   หน้าพระเพลา 4 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว   เป็นพระจำลองแบบพระพุทธไพรีพินาศ   ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ชั้นสามพระเจดีย์ไพรีพินาศ   วัดบวรนิเวศวิหาร  กรุงเทพฯ   สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร   เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อ   เมื่อวันที่  6  เมษายน  2527   ณ บริเวณมณฑลพิธีหน้าพระอุโบสถคณะรังษี   วัดบวรนิเวศวิหาร   และต่อมาได้ขอพระราชทางพระบรมราชานุญาตเททองหล่อพระพุทธรูปปางรำพึง มวก. และพระพุทธรูปปางนาคปรก สธ. ประดิษฐานไว้ที่ฐานชุกชีพระพุทธไพรีพินาศ ด้านขวา-ซ้าย   ที่ศาลาอเนกกุศลด้วย

                    9.   ศาลาท่านท้าวริรุฬหรมหาราช   พุทธบัณฑิต   กว้าง 14.00 เมตร ยาว 24.00 เมตร   เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น สำหรับเป็นที่พักอาศัยของพุทธศาสนิกชน   ผู้มาประพฤติปฏิบัติรักษาศีลฟังธรรมและเจริญจิตภาวนาระยะสั้น 3 - 7 วัน

                    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   เสด็จพระราชดำเนินทางพระสุหร่าย ทรงเจิมพระรูปท่านท้าววิรุฬหกมหาราช   ทั้งสองพระรูป   แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่หน้าบันทั้งสองข้าง   เมื่องวันที่  27  มิถุนายน   2527   สร้างถวายกุศลท่านท้าววิรุฬหกมหาราชโลกบาล   ผู้รักษาโลกทิศเบื้องใต้อันมีสยามประเทศรวมอยู่ด้วย

                    นอกจากงานสรรสร้างสิ่งอันเป็นปูชนียะ   เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนอันเพิ่มพูนพระราชกุศลราศี   และเป็นราชสักการะเทิดพระเกียรติดังกล่าว   ยังได้ดำเนินการสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นสถานที่บริการป้องกันโรค   รวมทั้งการรักษาพยาบาล   และเพิ่มพูนความรู้ทางการศึกษาของพระภิกษุสามเณร และประชาชนในบริเวณใกล้เคียง   เช่น

                    1.    สร้างโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม เป็นโรงพยาบาลขนาด 10 เตียงแบบชั้นเดียว   ประกอบด้วยบ้านพักนายแพทย์และพยาบาล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ รวม 4 หลัง   และมีผู้มารับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาด   นับตั้งแต่วันที่เสด็จพระราชดำเนินทางเปิดโรงพยาบาลเป็นต้นมา

                    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา   เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลารากฐานสร้างโรงพยาบาล   เมื่อวันที่  22  ตุลาคม  2526   ซึ่งเป็นวโรกาศที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุขึ้นปีที่ 84 ด้วย

                    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางเปิดโรงพยาบาลพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  เมื่อวันที่   27  มิถุนายน  2527

                    2.   สร้างอาคาร ญส.  72 (ญส. สมเด็จพระญาณสังวร)   ขึ้นในโอกาสที่   สมเด็จพระญาณสังวรเจริญชนมายุครบ 6 รอบ  เมื่อวันที่  3  ตุลาคม   2528  เป็นอาคารคอนกรีตสองชั้น 20 ห้อง สำหรับอาศัยอยู่เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมของฝ่ายอุบาสิกา   และต่อมาได้จัดสร้างอาคาร   ญส.  ตึกชาย   ลักษณะเช่นเดียวกัน  ขนาด 20 ห้อง   เพื่ออยู่อาศัยประพฤติปฏิบัติธรรมฝ่ายอุบาสกขึ้นอีก 1 หลัง ที่เขตอุบาสกอุบาสิกาวาส

                    สมเด็จพระญาณสังวร   ประกอบพิธีเปิดอาคาร ญส. ตึกหญิง  เมื่อวันที่  11   พฤษภาคม  2529   และในโอกาสเดียวกันนีได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์   สร้างอาคาร ญส. ตึกชาย  เวลา 10.09 น. ด้วย

                    3.   ศาลานานาชาติ   หรือศาลามังกรเล่นน้ำ   สร้างโดยพระราชปรารภของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว    โดยการบริจาคของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและ   ชาวต่างประเทศที่มุ่งเทิดทูนพระบุญญาธิการแห่งสมเด็จพระภัทรมหาราช   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   กับทั้งเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพรต่อไป

                    ศาลานานาชาติ   เป็นศาลาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมประจำชาติของแต่ละชาติ   ซึ่งต่างได้จัดสรรงบประมาณมาก่อสร้างศาลานานาชาติ   และอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า   "ศาลามังกรเล่นน้ำ"   ศาลาดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบ้านอำเภอ   มีรูปมังกรเล่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ประจำศาลาแต่ละชาติ   ซึ่งมีความหมายว่า   น้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วย    พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า   ศาลามังกรเล่นน้ำทั้งหมด  6   ชาติ รวม 7 ศาลา คือ

                    1.   ศาลาไทยล้านนา และศาลาไทยภาคกลาง ของชาติไทย

                    2.   ศาลาจีนนอก ของชาติสิงคโปร์

                    3.   ศาลาจีนใน ของพสกนิกรชาติไทย

                    4.   ศาลาญี่ปุ่น ของชาติญี่ปุ่น

                    5.   ศาลาฝรั่ง   ของชาติสวิตเซอร์แลนด์

                    6.   ศาลาอินเดีย  ชองชาติอินเดีย

                    การก่อสร้างศาลานานาชาติ สมเด็จพระญาณสังวร   ได้วางศิลาฤกษ์สร้างศาลาไทยล้านนาเป็นหลังแรก   เมื่อวันที่  25  มิถุนายน   2529   และคาดว่าศาลามังกรเล่นน้ำทั้ง 7 หลัง  จะแล้วเสร็จภายในปี 2530

                    4.    สร้างศูนย์การศึกษษนอกโรงเรียน   เป็นโครงการอันสืบเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนหนึ่ง ในจำนวนหลายโครงการของวัดญาณสังวราราม   ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจะใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม และให้การศึกษาด้านการเกษตรกรรมแก่เยาวชนผู้ยากไร้   โครงการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน   ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนฝึกอบรม   คณะกรรมการสนองงานตามโครงการพระราชดำริ (กปร.) ก็ได้จัดให้มีการฝึกอบรมเยาวชนดังกล่าว จำนวน 7 คน    ตามพระราชดำริที่ทรงปรารภไว้   โดยขอใช้สถานีวิจัยศรีราชาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   จังหวัดชลบุรี   ซึ่งอยู่ในความดูแลฝึกอบรมของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   กรมการศึกษานอกโรงเรียนและ กปร. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม  2529 แล้ว

                    5.    แกะสลักพระพุทธรูปที่เขาชีจรรย์   เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยรอบวัดญาณสังวราราม   เป็นภูเขาสูงหลายลูก  เช่น เขาชีโอน  เขาชีจรรย์  เขาดิน   เป็นต้น  โดยเฉพาะเขาชีจรรย์ มีความสูงเด่นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล   ได้มีการขอสัมปทางทำการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างมาแล้วช้านาน   ในปัจจุบันเขาดังกล่าว   ได้เสียสภาพความเป็นธรรมชาติไป เนื่องจากระเบิด เสียงระเบิดทำให้เสียบรรยากาศในการปฏิบัติสมาธิ   แม้กระทั่งสัตว์ป่าต่าง ๆ และนกซึ่งเดิมมีอยู่เป็นจำนวนมาก   ต่างก็หลบหนลี้ภัยไปอยู่ ณ ที่อื่น จึงได้มีพระราชดำริว่าควรจะหาทางระงับการระเบิดที่เขาชีจรรย์   และโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักภูเขาด้านที่ถูกระเบิดเป็นพระพุทธรูปแทน

                    เนื่องในวโรกาศที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช   รัชการที่  9   ทรงครองสิริราชสมบัติครบ  50 ปี  พ.ศ.  2539   ทางวัดญาณสังวรารามมหาวรวิหาร   ในสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช   สกลสหาสังฆปรินายก   ทรงพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมที่จะสร้าง   พระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์   เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหนามงคงวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ   50  ปีนี้   อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาและยังเป็นการอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงอยู่ในสภาพที่ควรเป็น

                    ซึ่งเขาชีวรรย์นี้ มีความสูงประมาณ 169 เมตร มีฐานกว้าง 255 เมตร   อยู่ห่างจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปทางใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร   สภาพของเขาชีจรรย์เดิมทีมีการขอสัมปทานทำาการระเบิดหินเพื่อนำไปใช้งานก่อสร้างมาแล้วช้านาน และส่วนที่เหลือจึงกลายเป็นหน้าผาหินสูงชัน

                                                                                       หลังจากที่วัดญาณสังวรารามฯและคณะกรรมการโครงการจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าฝาเขาชีจรรย์ได้พิจารณาหาข้อมูลและนำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แกะสลักพระพุทธรูปที่หน้าฝาเขาชีจรรย์เป็นแบบลายเส้น

                    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร   ได้เสร็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีบรวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธ์ก่อนเริ่มโครงการจัดการสร้างพระพุทธรูป   ณ. เขาชีจรรย์เมื่อวันที่  24   เมษายน  2538  ที่ผ่านมา

                    การแกะสลักพระพุทธรูปที่มีชื่อเรียกขานว่า   "พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา"   เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย   ขนาดความสูง  150  เมตร   หน้าตักกว้าง  100 เมตร   ประดิษฐานบนฐานบัว   ซึ่งบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บลาสเตอร์  จำกัด   จะใช้เวลาดำเนินการแกะสลักหินเขาให้เป็นพระพุทธรูปองค์นี้ประมาณหนึ่งปี   งบประมาณในการใช้จ่ายนี้บริษัทตั้งไว้   43,305,800  บาท   ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้ว   เมื่อการแกะสลักเป็นรูปองค์พระรูปแล้วเสร็จก็จะสามารถมองเห็นชัดแต่ไกลและมีความสวยงามกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

                    และนอกจากนี้   วัดญาณสังวราราม   โดยสมเด็จพระญาณสังวร   ผู้อุปถัมภ์การสร้าง   ได้ทำหนังสือขออนุญาตอธิบดีกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ เพื่อขอใช้พื้นที่เขาชีโอนและเขาชีจรรย์   ซึ่งเป็นพื้นที่ตามโครงการพระราชดำริ   ปลูกเสนาสนะกุฎิที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่ง   โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมที่ดิน และกรมป่าไม้ คือ จักไม่ตัดไม้ทำลายป่า และอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้เป็นไปตามธรรมชาติเดิมทุกประการ

                                                             .........................................................

                                            วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร   ในพระบรมราชูปถัมภ์                  

THAI Trip Homepage